4 เคล็ดลับ Deep Work คืออะไร? ทำไมช่วยเพิ่มโฟกัสการทำงานในยุคดิจิตอล

หลายคนคิดว่า การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multi Tasking) เป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ความคิดนี้ผิดถนัด เพราะการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ไม่ได้เท่ากับผลิตภาพที่สูงขึ้นเท่ากับ Deep work

Reading Time: 1 min.

Deep Wok คือ

บทความนี้เป็นการเขียนรีวิวหนังสือ Deep Work: Rules for Focused Success in a Distracted World
(กฎเกณฑ์สู่ความสำเร็จด้วยสมาธิ ในยุคที่รบกวน) ของ Cal Newport

จากการอ่านสรุปหนังสือเล่มนี้? คุณจะได้ค้นพบศักยภาพสูงสุดของคุณ ผ่านการทำงานแบบโฟกัสเชิงลึก

Deep Work คืออะไร?

ตามที่ได้เขียนบทความไว้ก่อนหน้านี้ 5 วิธีดึงศักยภาพการทำงานของคุณ ด้วยวิธี “Deep work”

Deep Work คือ การที่เราจดจ่อ โฟกัสกับงานอย่างเต็มที่ โดยปราศจากสิ่งรบกวน เป็นการใช้สมาธิ และพลังความคิดทั้งหมดไปกับงานๆเดียว

ลองถามตัวเองอย่างจริงใจว่า

ระหว่างที่คุณอ่านบทความนี้ คิดว่าคุณจะมีการแจ้งเตือน อีเมล์ และข้อความเข้ามากี่ครั้ง?

มีโอกาสสูงที่จะถูกรบกวนหลายครั้ง

คำถามคือ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อความเข้าใจของคุณในเนื้อหาอย่างไร?

เป็นไปได้ว่าคุณจะมีสมาธิน้อยลง และอาจพลาดรายละเอียดบางอย่างไป

ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้ เราจำเป็นต้องพัฒนาทักษะ และความสามารถในการโฟกัสกับงานทีละอย่าง โดยไม่มีการรบกวน

เราต้องเรียนรู้ที่จะฝึกฝนการทำงานเชิงลึก แล้วมันหมายถึงอะไร และทำได้อย่างไร?

เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการปิดการแจ้งเตือนของคุณก่อน แล้วคุณจะได้รู้คำตอบ

การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน คือ ศัตรูของผลิตภาพ

หลายคนคิดว่า การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multi Tasking) เป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ความคิดนี้ผิดถนัด เพราะการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ไม่ได้เท่ากับผลิตภาพที่สูงขึ้น

โซฟี เลรอย (Sophie Leroy) ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ ในปี 2009 เธอแสดงให้เห็นว่า

เมื่อเราเปลี่ยนจากงาน A ไปงาน B ความสนใจของเรายังคงติดอยู่กับงานแรก ทำให้เราโฟกัสกับงานที่สองได้เพียงครึ่งเดียว

ซึ่งส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน เธอทดลองกับกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่ม:

  • กลุ่ม A ทำปริศนาคำจนกระทั่งถูกขัดจังหวะให้ไปอ่านประวัติผู้สมัครงานและตัดสินใจจ้างงาน
  • กลุ่ม B ได้ทำปริศนาจนเสร็จก่อน ถึงจะไปเริ่มอ่านประวัติผู้สมัคร

ระหว่างงานทั้งสองกลุ่ม เลรอยทดสอบอย่างรวดเร็ว เพื่อดูว่ามีคำสำคัญจากปริศนากี่คำ ที่ยังติดค้างอยู่ในความคิดของผู้เข้าร่วมทดสอบผลลัพธ์คืออะไร?

กลุ่ม A ยังคงโฟกัสกับปริศนามากเกินไป จึงทำให้สมาธิในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมลดน้อยลง

สรุปสั้นๆ คือ การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ไม่ดีต่อผลิตภาพ

เช่นเดียวกับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตลอดเวลา แม้จะดูเหมือนไม่มีอันตราย ที่จะเปิดแท็บโซเชียลมีเดีย และอีเมลไว้ในเบราว์เซอร์ แต่การเห็นสิ่งต่างๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ก็เพียงพอที่จะทำลายสมาธิของคุณได้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้ตอบสนองต่อการแจ้งเตือนทันทีก็ตาม

ตัวอย่างเช่น การศึกษาในปี 2012 โดยบริษัทที่ปรึกษา McKinsey พบว่า พนักงานโดยเฉลี่ยใช้เวลากว่า 60% ของสัปดาห์ทำงานไปกับการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ และท่องอินเทอร์เน็ต โดยใช้เวลาเพียง 30% ในการอ่านและตอบอีเมล์

แม้จะทำข้อมูลเช่นนี้ แต่พนักงานกลับรู้สึกว่าตัวเองทำงานหนักกว่าที่เคย นั่นเป็นเพราะการทำงานเล็กๆ น้อยๆ และการจัดการข้อมูล ทำให้เรารู้สึกว่ายุ่ง และประสบความสำเร็จ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เราโฟกัสกับงานอย่างแท้จริง

Deep Work รีวิว

4 วิธีทำงานเชิงลึก (Deep Work)

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าอะไร คือ สิ่งที่ขัดขวางการทำงานเชิงลึก แต่จะเอาชนะมันได้อย่างไร?

แม้จะไม่มีกลยุทธ์ที่ใช้ได้กับทุกคน แต่นี่คือวิธีที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับคุณ:

1.วิธีแบบนักบวช (Monastic Approach):

กลยุทธ์นี้ทำงานโดยกำจัดแหล่งรบกวนทั้งหมด และแยกตัวเองเหมือนนักบวช

2.วิธีแบบสองโหมด (Bimodal Approach):

เกี่ยวข้องกับการกำหนดแบ่งช่วงเวลา แยกออกจากันที่ชัดเจนสำหรับการทำงาน และปล่อยให้เวลาที่เหลือเป็นอิสระสำหรับกิจกรรมอื่นๆ

3.วิธีแบบจังหวะ (Rhythmic Approach):

แนวคิด คือ การสร้างนิสัยในการทำงานเชิงลึก เป็นช่วงๆ เช่น ช่วงละ 90 นาที และใช้ปฏิทินติดตามความสำเร็จ

4.วิธีแบบนักข่าว (Journalistic Strategy):

คือการใช้เวลาว่างที่ไม่คาดคิดในกิจวัตรประจำวัน เพื่อทำงานเชิงลึก

แต่ไม่ว่าคุณจะใช้เทคนิคใด สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า ทุกเทคนิคต้องมีระเบียบแบบแผน ไม่ใช่การทำแบบสุ่ม จริงๆ แล้วนี่คือความแตกต่างระหว่างการ “เข้าโซน” กับ “การทำงานเชิงลึก”

เพราะการเข้าโซนเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และมักเกิดหลังจากผัดวันประกันพรุ่งมาหลายชั่วโมง ในทางตรงกันข้าม การทำงานเชิงลึก (Deep work) เป็นสิ่งที่ตั้งใจ และต้องการให้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวิธีการที่เตรียมจิตใจของคุณให้พร้อม

วิธีการหนึ่งอาจเป็นการกำหนดพื้นที่ของคุณ อาจเป็นเรื่องง่ายๆ เช่น การติดป้าย “ห้ามรบกวน”

ที่ประตูสำนักงาน หรือไปทำงานที่ห้องสมุด หรือร้านกาแฟ

วิธีหลังนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง หากคุณทำงานในออฟฟิศแบบเปิด

ยกตัวอย่างเช่น เจ.เค. โรว์ลิ่ง ขณะที่เธอกำลังเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มสุดท้าย เธอเลือกที่จะพักในโรงแรมห้าดาวเพื่อหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายที่บ้าน และจัดการกับความกดดัน เพื่อให้เธอสามารถเข้าสู่การทำงานเชิงลึกได้

วิธีการอีกอย่างคือ การกำหนดขอบเขต เช่น การตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือปิดโทรศัพท์มือถือ และสุดท้ายก็เพื่อ ให้การทำงานเชิงลึกของคุณยั่งยืน นอกจากนี้ การออกกำลังกายเบาๆ ทานอาหาร หรือจิบกาแฟ สิ่งเหล่านี้ล้วนจำเป็นต่อร่างกาย หากคุณต้องการมีสมาธิ ถ้าคุณไม่ทำเช่นนั้น คุณจะไม่มีพลังงานทางจิตใจที่จำเป็นในการ “รักษาการทำงานเชิงลึก”

โฟกัสสมองของคุณ และเลือกใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด

ในโลกสมัยใหม่ สมองของเราคุ้นเคยกับการหาสิ่งรบกวนสมาธิ ดูได้จากทุกที่ที่เรามอง ผู้คนต่างจดจ่ออยู่กับหน้าจอ เล่นเกม ส่งข้อความ หรือรีเฟรชหน้าเฟซบุ๊กซ้ำๆ

ปัญหาคือ สมองของเราถูกออกแบบมาให้วอกแวกได้ง่าย เพราะในแง่ของวิวัฒนาการ สิ่งรบกวนเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้ง ความเสี่ยง หรือ โอกาส

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเรา ที่จะโฟกัสกับงานเดียวอย่างลึกซึ้ง

แต่ไม่ต้องกังวล การทำสมาธิเชิงคุณภาพ สามารถปรับการทำงานของสมอง และช่วยให้คุณมีสมาธิได้ ใช้ช่วงเวลาที่อาจไม่มีประสิทธิผล เช่น การพาสุนัขเดินเล่น อาบน้ำ หรือเดินทางไปทำงาน เพื่อพิจารณาปัญหาที่คุณต้องจัดการ โดยไม่ปล่อยให้จิตใจวอกแวกไปเรื่องอื่น

นอกจากนี้ การใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ ก็มีประโยชน์เช่นกัน การศึกษาในปี 2008 พบว่า

เมื่อผู้คนใช้เวลาในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ พวกเขามีความสามารถในการจดจ่อดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการอยู่ในเมือง

อีกวิธีหนึ่งในการฝึกสมาธิ คือ การฝึกจดจำการ์ดไพ่ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้โดยแกรนด์มาสเตอร์หมากรุก มอริส แอชเลย์ เขาจะสับไพ่และพยายามจำลำดับของไพ่ให้ได้มากที่สุด วิธีนี้ช่วยฝึกสมาธิ และความจำได้อย่างดี

แต่การฝึกสมาธิเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณยังต้องจัดการกับเทคโนโลยีด้วย นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องละทิ้งเทคโนโลยีทั้งหมด แต่คุณควรใช้มันอย่างมีสติ ลองใช้กฎ “Any-Benefit Approach” ซึ่งหมายความว่า คุณควรใช้เทคโนโลยีเฉพาะ เมื่อประโยชน์ที่ได้มีมากกว่าผลเสีย ที่อาจเกิดขึ้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใช้เฟซบุ๊กเพื่อติดต่อกับเพื่อนเก่า แต่พบว่าตัวเองใช้เวลาหลายชั่วโมง เพื่อเลื่อนดูฟีดข่าว คุณควรพิจารณาว่าประโยชน์ที่ได้คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปหรือไม่ ถ้าไม่คุ้ม อาจถึงเวลาที่ต้องเลิกใช้แพลตฟอร์มนั้น

ใช้การทำงานเชิงลึก (Deep work) ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

การทำงานเชิงลึก (Deep work) ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการมีสมาธิเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการจัดการเวลาด้วย วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการทำเช่นนี้คือ การวางแผนในแต่ละวันของคุณล่วงหน้า โดยแบ่งเวลาเป็นช่วงๆ และกำหนดงานที่ต้องทำในแต่ละช่วง

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ต้องยืดหยุ่นได้ด้วย เพราะแผนของคุณอาจต้องปรับเปลี่ยนเมื่อมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ในกรณีนี้ ให้ปรับตารางเวลาของคุณทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ คุณควรติดตามว่าคุณใช้เวลาอย่างไรด้วย ลองจดบันทึกว่าคุณใช้เวลาแต่ละนาทีไปกับอะไร คุณอาจประหลาดใจ ที่พบว่าคุณใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่ไม่มีประสิทธิผลมากแค่ไหน

อีกเทคนิคหนึ่ง คือ การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และเป็นไปได้ เช่น “ฉันจะเขียนให้ได้ 1,000 คำภายในสองชั่วโมงถัดไป” การมีเป้าหมายที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและโฟกัส

สุดท้าย อย่าลืมพักผ่อน การทำงานเชิงลึกต้องใช้พลังงานมาก และสมองของคุณต้องการเวลาในการฟื้นฟู ดังนั้น เมื่อวันทำงานของคุณสิ้นสุดลง ให้ปิดคอมพิวเตอร์ และลืมเรื่องงานไปก่อน

สรุป Deep Work คือ ทักษะอนาคต (Future Skill)

การทำงานเชิงลึก (Deep work) เป็นทักษะอนาคต (Future skill) ที่มีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนสมาธิ

ในยุคที่เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อตลอดเวลา กลายเป็นบรรทัดฐาน ความสามารถในการโฟกัสอย่างลึกซึ้งกับงานเดียว กลายเป็นทักษะที่หายาก และมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ

การฝึกฝนการทำงานเชิงลึกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความมุ่งมั่น และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คุณสามารถพัฒนาความสามารถในการทำงานที่มีคุณค่า และสร้างสรรค์ได้

“Deep work เป็นทักษะจำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคต (Future skill)”

จำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยส่งเสริมการทำงานเชิงลึก Deep Work คือ :

  • จัดตารางเวลาสำหรับการทำงานเชิงลึก
  • สร้างพิธีการและกฎระเบียบ
  • ลดการรบกวนให้เหลือน้อยที่สุด
  • ฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด
  • ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน

Mindmap-Deep Work

เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาได้เข้าใจในภาพรวมมากขึ้น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Mindmap (มายแมพ) ด้านล่างนี้ หรือทท่านใดต้องการไฟล์ .pdf ก็ส่งข้อความมาขอได้

Mindmap Deep Work

Related posts

Manifest

Manifest ปั้นฝันให้เป็นจริง: 7 ขั้นตอนง่าย ๆ สร้างชีวิตที่อยากได้

Reading Time: 1 min.

Manifest คือ การตั้งจิตอธิษฐานให้สิ่งที่ต้องการเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์ แต่เป็นการใช้ “กฎแรงดึงดูด” ที่ว่าสิ่งที่เราคิดถึงบ่อย ๆ จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาในชีวิต

อ่านเพิ่มเติม
Deep Work

5 วิธีดึงศักยภาพการทำงานของคุณ ด้วยวิธี “Deep work”

Reading Time: 1 min.

Deep Work ไม่ใช่แค่การทำงาน แต่เป็นการใช้สมาธิและความตั้งใจจริงระหว่างทำงาน มีเทคนิคและวิธีการอะไร ที่จะพาคุณดำดิ่งท่ามกลางสิ่งรบกวนบ้าง

อ่านเพิ่มเติม
วิธีพัฒนา soft skill

8 วิธีพัฒนา soft skill 2025 มีอะไรบ้าง พัฒนาแล้วเติบโตก้าวกระโดด

Reading Time: 0 min.

8 วิธีพัฒนา soft skill ในปี 2023 ที่ช่วยให้คุณเติบโตแบบก้าวกระโดดมีอะไรบ้าง ซึ่งช่วยส่งเสริมทักษะ hard skill ที่เป็นพื้นฐานในการทำงานได้เป็นอย่างดี

อ่านเพิ่มเติม